สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

พระราชประวัติ[แก้]
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มีพระนามเดิมว่า พระเชษฐา เสด็จพระราชสมภพเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2015 ที่เมืองพิษณุโลก พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีพระเชษฐา ได้แก่ พระอินทรราชาและพระบรมราชา (ต่อมา คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3)เมื่อปี พ.ศ. 2027 พระองค์ผนวชพร้อมด้วยพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เมื่อพระองค์ลาผนวชแล้ว สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสถาปนาพระองค์ไว้ที่พระมหาอุปราชขณะที่มีพระชันษาได้ 13 ปี แต่มิได้ทรงระบุว่าเป็นพระมหาอุปราชเมืองพิษณุโลกหรือกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2031 ขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้ 16 พรรษา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งครองกรุงศรีอยุธยาอยู่จึงได้ย้ายราชธานีมายังกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหลังจากที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายราชธานีไปยังเมืองพิษณุโลก ส่วนพระองค์ยังคงประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลกในตำแหน่งพระมหาอุปราช จนกระทั่ง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2034 สมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงเสด็จจากเมืองพิษณุโลกมาเสวยราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อมีพระชันษาได้ 19 พรรษา โดยทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี (ที่ 2)
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2072 ขณะที่มีพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา พระองค์ครองราชสมบัติรวม 38 ปี ในปีที่พระองค์เสด็จสวรรคตนั้นเป็นปีที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรมาใกล้โลก[ต้องการอ้างอิง] โดยมีปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ว่า
![]() | ... ศักราช 891 ฉลูศก (พุทธศักราช 2072) เห็นอากาศนิมิตเป็นอินทรธนูแต่ทิศหรดี ผ่านอากาศมาทิศพายัพ มีพรรณขาว | ![]() |
ในรัชสมัยของพระองค์มีเหตุการณ์สำคัญ คือ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า มีผู้ทอดบัตรสนเท่ห์ จึงโปรดให้มีการประหารชีวิตขุนนางเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีการแรกชำระตำราพิชัยสงคราม และยังนับเป็นช่วงแรกที่มีชาวตะวันตก อันได้แก่ ทหารรับจ้าง เช่น โปรตุเกส เข้ามามีบทบาทในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา[1]
พระราชโอรส[แก้]
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสัณนิษฐานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มีพระราชโอรสสามพระองค์ได้แก่- พระอาทิตย์วงศ์ ประสูติกับพระอัครมเหสี ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร
- พระไชยราชา ประสูติกับพระสนม ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราช
- พระเฑียรราชา เป็นอนุชาต่างพระสนมกับพระไชยราชา ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระราชกรณียกิจ[แก้]
การพระศาสนา[แก้]
- พ.ศ. 2035 สมเด็จพระรามาธิบดีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ใหญ่เพื่อประดิษฐานพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ในเขตพระบรมหาราชวัง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ใหญ่เพื่อประดิษฐานพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในวัดเดียวกัน
- พ.ศ. 2042 สมเด็จพระรามาธิบดีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารในวัดศรีสรรเพชญ์
- พ.ศ. 2043 สมเด็จพระรามาธิบดีหล่อโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูป พระศรีสรรเพชญ์ เริ่มหล่อในวันอาทิตย์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6
- พ.ศ. 2046 ทรงให้มีงานฉลองสมโภชพระศรีสรรเพชญ์ วันศุกร์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8
การเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุเกส[แก้]
ใน พ.ศ. 2054 ทูตนำสารของ อะฟองซู ดือ อะบูแกร์ แม่ทัพใหญ่ของโปรตุเกสได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ทรงตอบรับไมตรีจากโปรตุเกส และได้ทำสัญญาทางราชไมตรีกับทางการค้าต่อกัน ใน พ.ศ. 2059 นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับต่างประเทศ โปรตุเกสจึงนับเป็นประเทศแรกในทวีปยุโรปที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาผลจากการเข้ามาสร้างไมตรีของชาวโปรตุเกส ได้มีการนำเอาอาวุธแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเข้ามาถวาย ได้แก่ ปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนดินดำ ต่อมาชาวโปรตุเกสได้เข้ามาเป็นทหารอาสาฝรั่ง ได้ช่วยฝึกวิธีการใช้อาวุธแบบตะวันตกกับกรุงศรอยุธยา
ราชการสงคราม[แก้]
สงครามกับมะละกา[แก้]
เมื่อ พ.ศ. 2043 พระองค์ทรงส่งกองทัพทั้งทางบกและทางเรือไปทำสงครามกับมะละกาถึงสองครั้ง โดยเข้าโจมตีชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก แม้ไม่ประสบผลสำเร็จแต่ก็ทำให้มะละกาได้ตระหนักถึงอำนาจของอยุธยาที่มีอิทธิพลเหนือหัวเมืองในคาบสมุทรภาคใต้ โดยมีเมืองนครศรีธรรมราชทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ใช้เป็นฐานในการควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ในคาบสมุทรแห่งนี้ กษัตริย์มะละกาผู้ปกครอง ปัตตานี ปาหัง กลันตัน และเมืองท่าที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทั้งหมดต้องส่งบรรณาการต่อกษัตริย์อยุธยาทุกปีสงครามกับล้านนา[แก้]
- พ.ศ. 2056 พระเมืองแก้ว กษัตริย์เมืองเชียงใหม่แห่งอาณาจักรล้านนา ยกทัพมาตีกรุงสุโขทัย สมเด็จพระรามาธิบดีได้ทรงออกทัพขึ้นไปป้องกันทางเหนือ จนกองทัพเชียงใหม่แตกกลับไป
- พ.ศ. 2058 พระองค์ได้ทรงยกกองทัพขึ้นไปตีล้านนาอีกหน คราวนี้ทรงตีเมืองลำปางได้
สถาปนาพระมหาอุปราช[แก้]
พ.ศ. 2069 พระองค์ได้ทรงสถาปนาพระอาทิตย์วงศ์ พระราชโอรสให้เป็นพระบรมราชาตำแหน่งสมเด็จหน่อพระพุทธางกูร หรือสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้ารัชทายาท โปรดเกล้า ฯ ให้ปกครองหัวเมืองเหนือประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ทำให้ราชอาณาจักรล้านนาไม่มารบกวนเมืองเหนืออีกตลอดรัชสมัยของพระองค์การจัดระเบียบกองทัพ[แก้]
สมเด็จพระรามาธิบดีที ทรงจัดให้มีการจัดระเบียบกองทัพ และแต่งตำราพิชัยสงคราม โปรดเกล้า ฯ ให้จัดทำบัญชีกำลังพล เมื่อ พ.ศ. 2061 เพื่อเกณฑ์พลเมืองเข้ารับราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โดยกำหนดให้ไพร่ที่เป็นชาย อายุตั้งแต่ 18 - 60 ปี ต้องเข้ารับราชการทหาร ยกเว้นผู้ที่มีบุตรชายแล้วเข้ารับราชการ ตั้งแต่สามคนขึ้น ผู้เป็นบิดาจึงพ้นหน้าที่รับราชการทหารชายที่มีอายุ 18 ปี ต้องขึ้นทะเบียนทหารเพื่อเข้ารับการฝึกหัดทหาร เรียกว่า ไพร่สม เมื่ออายุ 20 ปี จึงเรียกเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการเรียกว่า ไพร่หลวง ส่วนพวกที่ไม่สามารถมารับราชการทหารได้ ก็ต้องมีของมาให้ราชการเป็นการชดเชยเรียกว่า ไพร่ส่วย
ได้มีการตั้งกรมพระสุรัสวดี ให้เป็นหน่วยรับผิดชอบ โดยมีออกพระราชสุภาวดี เป็นเจ้ากรมรับผิดชอบในมณฑลราชธานี พระสุรัสวดีขวา รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือ และพระสุรัสวดีซ้าย รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายใต้
เหตุการณ์สำคัญ[แก้]
- พ.ศ. 2039 ทรงประพฤติการเบญจาพิธ และทรงให้มีเล่นการดึกดำบรรพ์
- พ.ศ. 2040 ทรงให้ทำการปฐมกรรม
- พ.ศ. 2067 งาช้างต้นเจ้าพระยาปราบแตกข้างขวายาวไป ในเดือนเดียวกันมีผู้ทอดบัตรสนเท่ห์ สมเด็จพระรามาธิบดีทรงให้ประหารขุนนางจำนวนมาก
- พ.ศ. 2068 น้ำน้อย ข้าวมีการเน่าเสีย แผ่นดินไหวทุกเมือง และเกิดเหตุอุบาทว์หลายอย่าง
- พ.ศ. 2069 ข้าวสารแพงเป็น 3 ทะนานต่อเฟื้องเบี้ยแปดร้อย เกวียนหนึ่งเป็นเงินชั่งหกตำลึง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น