วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
 
 
 
     สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระมหากษัตริย์องค์ที่ 10 แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามเดิมว่า พระเชษฐา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จพระราชสมภพเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2015 ที่เมืองพิษณุโลก ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานถึง 38 ปี นับเป็นลำดับที่สองรองจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผู้เป็นพระราชบิดา

พระราชประวัติ[แก้]

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มีพระนามเดิมว่า พระเชษฐา เสด็จพระราชสมภพเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2015 ที่เมืองพิษณุโลก พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีพระเชษฐา ได้แก่ พระอินทรราชาและพระบรมราชา (ต่อมา คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3)
เมื่อปี พ.ศ. 2027 พระองค์ผนวชพร้อมด้วยพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เมื่อพระองค์ลาผนวชแล้ว สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสถาปนาพระองค์ไว้ที่พระมหาอุปราชขณะที่มีพระชันษาได้ 13 ปี แต่มิได้ทรงระบุว่าเป็นพระมหาอุปราชเมืองพิษณุโลกหรือกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2031 ขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้ 16 พรรษา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งครองกรุงศรีอยุธยาอยู่จึงได้ย้ายราชธานีมายังกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหลังจากที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายราชธานีไปยังเมืองพิษณุโลก ส่วนพระองค์ยังคงประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลกในตำแหน่งพระมหาอุปราช จนกระทั่ง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2034 สมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงเสด็จจากเมืองพิษณุโลกมาเสวยราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อมีพระชันษาได้ 19 พรรษา โดยทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี (ที่ 2)
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2072 ขณะที่มีพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา พระองค์ครองราชสมบัติรวม 38 ปี ในปีที่พระองค์เสด็จสวรรคตนั้นเป็นปีที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรมาใกล้โลก[ต้องการอ้างอิง] โดยมีปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ว่า
... ศักราช 891 ฉลูศก (พุทธศักราช 2072) เห็นอากาศนิมิตเป็นอินทรธนูแต่ทิศหรดี ผ่านอากาศมาทิศพายัพ มีพรรณขาว
วันอาทิตย์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้านฤพาน ...
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มีพระราชสมภพที่พิษณุโลกใน พ.ศ. 2015 เมื่อพระชนมายุ 13 ปี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชบิดาทรงอภิเษกให้เป็นพระมหาอุปราช อยู่ 3 ปี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็สวรรคต ราชสมบัติตกอยู่แก่พระเชษฐา คือ พระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งครองราชย์เพียง 3 ปี ก็เสด็จสวรรคต จึงเสด็จมาเสวยราชสมบัติ ณ กรุงศรีอยุธยา เมื่อพระชันษา 19 ปี
ในรัชสมัยของพระองค์มีเหตุการณ์สำคัญ คือ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า มีผู้ทอดบัตรสนเท่ห์ จึงโปรดให้มีการประหารชีวิตขุนนางเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีการแรกชำระตำราพิชัยสงคราม และยังนับเป็นช่วงแรกที่มีชาวตะวันตก อันได้แก่ ทหารรับจ้าง เช่น โปรตุเกส เข้ามามีบทบาทในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา[1]

พระราชโอรส[แก้]

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสัณนิษฐานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มีพระราชโอรสสามพระองค์ได้แก่
  1. พระอาทิตย์วงศ์ ประสูติกับพระอัครมเหสี ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร
  2. พระไชยราชา ประสูติกับพระสนม ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราช
  3. พระเฑียรราชา เป็นอนุชาต่างพระสนมกับพระไชยราชา ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

พระราชกรณียกิจ[แก้]

การพระศาสนา[แก้]

การเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุเกส[แก้]

ใน พ.ศ. 2054 ทูตนำสารของ อะฟองซู ดือ อะบูแกร์ แม่ทัพใหญ่ของโปรตุเกสได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ทรงตอบรับไมตรีจากโปรตุเกส และได้ทำสัญญาทางราชไมตรีกับทางการค้าต่อกัน ใน พ.ศ. 2059 นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับต่างประเทศ โปรตุเกสจึงนับเป็นประเทศแรกในทวีปยุโรปที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา
ผลจากการเข้ามาสร้างไมตรีของชาวโปรตุเกส ได้มีการนำเอาอาวุธแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเข้ามาถวาย ได้แก่ ปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนดินดำ ต่อมาชาวโปรตุเกสได้เข้ามาเป็นทหารอาสาฝรั่ง ได้ช่วยฝึกวิธีการใช้อาวุธแบบตะวันตกกับกรุงศรอยุธยา

ราชการสงคราม[แก้]

สงครามกับมะละกา[แก้]

เมื่อ พ.ศ. 2043 พระองค์ทรงส่งกองทัพทั้งทางบกและทางเรือไปทำสงครามกับมะละกาถึงสองครั้ง โดยเข้าโจมตีชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก แม้ไม่ประสบผลสำเร็จแต่ก็ทำให้มะละกาได้ตระหนักถึงอำนาจของอยุธยาที่มีอิทธิพลเหนือหัวเมืองในคาบสมุทรภาคใต้ โดยมีเมืองนครศรีธรรมราชทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ใช้เป็นฐานในการควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ในคาบสมุทรแห่งนี้ กษัตริย์มะละกาผู้ปกครอง ปัตตานี ปาหัง กลันตัน และเมืองท่าที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทั้งหมดต้องส่งบรรณาการต่อกษัตริย์อยุธยาทุกปี

สงครามกับล้านนา[แก้]

สถาปนาพระมหาอุปราช[แก้]

พ.ศ. 2069 พระองค์ได้ทรงสถาปนาพระอาทิตย์วงศ์ พระราชโอรสให้เป็นพระบรมราชาตำแหน่งสมเด็จหน่อพระพุทธางกูร หรือสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้ารัชทายาท โปรดเกล้า ฯ ให้ปกครองหัวเมืองเหนือประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ทำให้ราชอาณาจักรล้านนาไม่มารบกวนเมืองเหนืออีกตลอดรัชสมัยของพระองค์

การจัดระเบียบกองทัพ[แก้]

สมเด็จพระรามาธิบดีที ทรงจัดให้มีการจัดระเบียบกองทัพ และแต่งตำราพิชัยสงคราม โปรดเกล้า ฯ ให้จัดทำบัญชีกำลังพล เมื่อ พ.ศ. 2061 เพื่อเกณฑ์พลเมืองเข้ารับราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โดยกำหนดให้ไพร่ที่เป็นชาย อายุตั้งแต่ 18 - 60 ปี ต้องเข้ารับราชการทหาร ยกเว้นผู้ที่มีบุตรชายแล้วเข้ารับราชการ ตั้งแต่สามคนขึ้น ผู้เป็นบิดาจึงพ้นหน้าที่รับราชการทหาร
ชายที่มีอายุ 18 ปี ต้องขึ้นทะเบียนทหารเพื่อเข้ารับการฝึกหัดทหาร เรียกว่า ไพร่สม เมื่ออายุ 20 ปี จึงเรียกเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการเรียกว่า ไพร่หลวง ส่วนพวกที่ไม่สามารถมารับราชการทหารได้ ก็ต้องมีของมาให้ราชการเป็นการชดเชยเรียกว่า ไพร่ส่วย
ได้มีการตั้งกรมพระสุรัสวดี ให้เป็นหน่วยรับผิดชอบ โดยมีออกพระราชสุภาวดี เป็นเจ้ากรมรับผิดชอบในมณฑลราชธานี พระสุรัสวดีขวา รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือ และพระสุรัสวดีซ้าย รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายใต้

เหตุการณ์สำคัญ[แก้]

  • พ.ศ. 2039 ทรงประพฤติการเบญจาพิธ และทรงให้มีเล่นการดึกดำบรรพ์
  • พ.ศ. 2040 ทรงให้ทำการปฐมกรรม
  • พ.ศ. 2067 งาช้างต้นเจ้าพระยาปราบแตกข้างขวายาวไป ในเดือนเดียวกันมีผู้ทอดบัตรสนเท่ห์ สมเด็จพระรามาธิบดีทรงให้ประหารขุนนางจำนวนมาก
  • พ.ศ. 2068 น้ำน้อย ข้าวมีการเน่าเสีย แผ่นดินไหวทุกเมือง และเกิดเหตุอุบาทว์หลายอย่าง
  • พ.ศ. 2069 ข้าวสารแพงเป็น 3 ทะนานต่อเฟื้องเบี้ยแปดร้อย เกวียนหนึ่งเป็นเงินชั่งหกตำลึง

การกล่าวถึงพระองค์ในวรรณคดีไทย[แก้]

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกับที่ปรากฏพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา ในวรรณคดีพื้นบ้านเรื่องขุนช้างขุนแผน เนื่องจากในพงศาวดาร อาทิ คำให้การชาวกรุงเก่า ระบุถึงรัชสมัยของพระองค์ มีตอนที่กล่าวถึงทหารคนสำคัญคนหนึ่งที่ชื่อ ขุนแผน ด้วย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น